บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับฆาตกรเด็กที่โหดที่สุดในโลก

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่สิ่งพวกเขาก่อนั้นเป็นเรื่องที่ "เกินเด็ก" พวกเขาได้ฆ่าคนด้วยความสนุกสนาน ไม่มีมูลเหตุผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังทารุณต่อศพผิดมนุษย์มนา ปรารถนาในการฆ่า ผิดจากภาพลักษณ์ของพวกเขาที่ดูไร้เดียงสาแต่จิตใจนั้นยิ่งกว่าปีศาจ เป็นเพราะนิสัย******ของพวกเขาหรือ?? หรือว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อม?? หรือเป็นเพราะครอบครัว คุณเท่านั้นที่จะตัดสิน........

อันดับ 10 ไบรอัน และเดวิด ฟรีแมน (Brian and David Freeman)



ไบรอันอายุ 17 ปี และเดวิด อายุ 16 ปีสองพี่น้องยักษ์ปักหลักสูงกว่า 6 ฟุต หนักกว่า 200 ปอนด์ ภาพที่คุณเห็นข้างบนนั้นไม่ใช้รอยสักธรรมดา แต่เป็นรอยสักแก๊งนีโอนาซี สองพี่น้องถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันทีหลังมีการพบศพแม่ของสองพี่น้องและน้อง ชายคนรอง ถูกไม้กระบองทุบจนตายในเขตเมืองซอลส์บรี มลรัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1995 ซึ่งคืนก่อนหน้าที่เกิดเหตุมีเพื่อนบ้านได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างผู้ ปกครองและสองพี่น้องดังกล่าว สุดท้ายสองพี่น้องก็ถูกจับคุกตลอดชีวิต


อันดับ 9 เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ (Edmund Kemper) 1948-??


(เอ้กอีเอ้กเอ้ก เลียนแบบคนๆ นี้รึเปล่านะ...คุกลั้ลลาลั้ลลา ติดคุกได้กินฟรีอยู่ฟรี 'ปัจจุบันเขายังสุขสบายดีในคุก' ผมควรจะยินดีด้วยสินะฮะ //โดนถีบหน้าลั่น)

27 สิงหาคม ปี 1964 ที่เบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ ในขณะนั้นอายุแค่ 15 ปี ได้ยิงตากับยายด้วยปืนล่าสัตว์(ยิงยายแล้วก็เอามีดหั่นเนื้อแทงยายซ้ำๆ จนปลายบิดงอ) หลังถูกตำรวจจับกุมเขาอ้างเหตุผลในเวลาต่อมาว่า "แค่อยากรู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับการฆ่ายาย" เด็กชายเคมเปอร์ถูกวินัจฉัยว่าเป็นโรคจิต(แต่ไอคิวถึง 140 )เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล และถูกปล่อยตัวเมื่อปี 1969 เคมเปอร์อายุ 21 ปี แสร้งแกล้งทำเป็นว่าหายขาด และถูกปล่อยสู่สังคม เมื่อออกสู่ภายนอกเคมเปอร์ก็ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ซื้อรถคันหนึ่งรับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงนักโบกรถและใช้ปืนยิงแล้วแทงให้ตาย ตัดศีรษะ หั่นศพ ใช้กล้องบันทึกภาพ บางรายนำเนื้อไปกินที่บ้าน มีเหยื่อที่โดนวิธีนี้กว่า 6 ราย และเมื่อวันที่ 20 เมษายน 1973 เคมเปอร์ก็ฆ่าแม่ของตัวเองโดยการทุบหัวเธอด้วยค้อนขณะที่เธอหลับอยู่ ตัดหัวเธอออกแล้วข่มขืนศพที่ไร้หัวนั้น จากนั้นเขาก็เอาหัวแม่มาใช้เป็นเป้าปาลูกดอกและเอากล่องเสียงไปทิ้งขยะ เท่านี้ยังไม่พอเขายังฆ่าเพื่อนแม่อีกคน ก่อนที่จะโทรแจ้งตำรวจมาจับตนเอง(ตอนแรกตำรวจนึกว่าเรื่องตลก เคมเปอร์ต้องชี้แจ้งหลายนาทีกว่าตำรวจจะเชื่อ) เคมเปอร์สารภาพต่อตำรวจว่า "แม่เป็นหญิงสารเลว สมควรตาย" สุดท้ายเคมเปอร์ถูกตัดสินคดีฆาตกรรม 8 คดี และถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขายังสุขสบายดีในคุก


อันดับ 8 วิลลี่ บอสเก็ต(Willie Bosket) 1962- ??



วิลลี่ บอสเก็ต เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1962 เขาถูกตัดสินในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่นิวยอร์ค เขาฆ่าเหยื่อเพียงเพราะชิงทรัพย์เท่านั้น แต่การตัดสินของเขาใช้กฎหมายผู้เยาว์ มันไม่สาสมต่อการกระทำอันอุกอาจของเขาได้ ทำให้สภาได้ร่างกฎหมายเพื่อให้เยาวชนต้องรับโทษแบบผู้ใหญ่ในคดีอุกฉกรรจ์ ขึ้นมา โดยก่อนหน้านั้น ในวันที่ 19 มีนาคม 1978 วิลลี่ บอสเก็ต ใช้ปืนยิงนายโนเอล เปเรส(Noel Perez) บนรถไฟใต้ดินนิวยอร์คเพียงเพื่อขโมยเงินจำนวนหนึ่งและนาฬิกาข้อมือ แปดวันต่อมาวันเขายิงนายโมเลส เปเลส(Moises Perez) นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับเหยื่อรายแรก)และขโมยเงินของเหยื่อ ไป เขาถูกตัดสินโดยกฎหมายเยาวชนก่อนที่ร่างกฎหมายใหม่นี้จะเสร็จ เขาถูกจำคุกแต่ออกมาอีก 4 ปีให้หลัง(ปล่อยในปี 1983) แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ถูกจับในคดีลอบวางเพลิงและคดีร้ายแรงอีกมากมาย และถูกตัดสินโดยกฎหมายใหม่ในที่สุด เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกขังเดี่ยวในเรือนจำนิวยอร์คตราบจนทุก วันนี้


อันดับ 7 โจชัวร์ ฟิลิปส์(Joshua Phillips) 1984-??


(เอ่อ...นายน่าตาดีออกนะทำไมนายไม่เป็นนายแบบอะมาทำงี้ทำไม ผู้หญิงมีไวให้ปกป้องไม่ใช่ทำร้ายนะเฮ้ย!!)

คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1998 ในฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เมื่อเด็กน้อยเพื่อนบ้านของโจชัวร์ ฟิลิปส์ชื่อเด็กหญิง Maddie Clifton อายุ 8 ขวบ หายตัวไปจากบ้านของเขาเอง ตำรวจและอาสาสมัครกว่า 400 คนทำการค้นหาและเสนอรางวัลเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเดิมแต่สุดท้ายก็ไร้ผล(คดีนี้ ถึงมือ FBI) หารู้ไม่ว่าเด็กน้อยคนนั้นอยู่ที่บ้านเพื่อนบ้านนี้แหละหากแต่เป็นศพแล้ว

7 วันต่อมาหลังการหายตัวไปของเด็ก แม่ของโจชัวร์ ฟิลิปส์ทำความสะอาดห้องของเขา เขาพบว่ามีกลิ่นประหลาดและเธอตามหาที่มาของกลิ่นนั้นจนกระทั้งพบร่างของ Maddie ซ่อนอยู่ เธอตกใจและหนีออกนอกบ้านแจ้งตำรวจ โจชัวร์ ฟิลิปส์ซึ่งตอนนั้นอายุ 15 ปี สารภาพว่าเขาทุบตีเพื่อนบ้าน 8 ขวบด้วยไม้เบสบอลจนเสียชีวิตและเขาหอบศพเธอซ่อนในห้องเขาและใช้มีดแทงเธออีก 11 ครั้ง คณะลูกขุนได้ตัดสินให้เขาจำคุกโดยปราศจากทัณฑ์บน และตอนนี้เขายังอยู่ในคุกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน


อันดับ 6 ลอรี่ แทคเก็ต(Laurie Tackett) 1974-???



เช้าวันเสาร์ของวันที่ 11 มกราคม ปี 1992 พี่น้องคู่หนึ่งได้ออกไปล่านกกระทาในเขตป่า Jefferson และแล้วเขาก็พบร่างหนึ่งที่ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นตุ๊กตาแต่ปรากฏว่ามันเป็น ศพของซานต้า ซาลีเออร์ (Shanda Sharerwho) สภาพศพของเธอบ่งบอกถึงการกระทำอันโหดร้าย มีรอยไหม้อย่างรุนแรงและรอยแผลที่ถูกฟันและแทงด้วยอาวุธมีคม จากการสอบสวนพบว่าฆาตกรคือนางสาวลอรี่ แทคเกอร์ อายุ 18 ปี ซึ่งเธอฆ่าซานต้าเพราะเป็นรักสามเศร้า(แบบเลสเบียน)

นางสาวลอรี่ แทคเกอร์เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1974 ในMadison อินเดียน่า แม่ของเธอเคร่งศาสนาเป็นชาวคริสเตียน ส่วนพ่อเป็นคนงานโรงงานต้องโทษคดีอาญาร้ายแรงและเธออ้างเคยทำร้ายเมื่อตอน อายุ 5 และ 12 (ฟังดูอาจธรรมดากว่าอันดับอื่นๆ ใช่เปล่าครับ ความจริงแล้วคดีนี้ดังมาก ในวีพีมีเดียก็มี โดยคดีนี้มีชื่อ The murder of Shanda Renee Sharer เนื้อหายาวๆ มากเพราะว่าเล่าตั้งแต่ความขัดแย้งของรักสามเศร้า...ทำไมฮิตเลอร์ไม่อยู่ เนอ)


อันดับ 5 เบรนด้า แอน สเปนเซอร์ ( Brenda Anne Spencer) 1962-??


(ผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ย ใช้คำว่าเธอน่าจะหญิง หะ..โหด!!)

วันจันทร์ 26 มกราคม ปี 1979 เบรด้าอายุ 16 ปี ใช้อาวุธปืนไรเฟิล automatic.22 ที่ได้รับเป็นของขวัญจากพ่อในวันคริสต์มาส เธอกราดยิงเด็ก 8 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงเรียนคลีฟแลนด์ อีลิเมนท์ทาลี่ สคูล ในซานดิเอโก้ และพยายามฆ่าครูใหญ่เบอตัน แวคก์ และผู้ปกครอง เธอถูกตำรวจจับกุมหลังจากนั้น 5 ชั่วโมงและถูกตั้งคำถามถึงเหตุผลต่อการกระทำการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนครั้ง นี้ เธอยักไหล่และตอบกลับว่า "ฉันเกลียดวันจันทร์ มันไม่มีเหตุผล และฉันก็ทำไปเพราะมันสนุกมากๆ เหมือนกับได้ยิงเป็ดในบ่อน้ำ อีกอย่างเด็กๆ พวกนั้นเหมือนฝูงวัวเมียยืนอยู่รอบๆ ซะด้วยสิ"("I don't like Mondays. This livens up the day." She also said, "I had no reason for it, and it was just a lot of fun"; "It was just like shooting ducks in a pond"' and "[The children] looked like a herd of cows standing around; it was really easy pickings." ) ผลสุดท้ายเบรนด้าถูกตั้งข้อหาฆ่าคน และบาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย ส่วนประโยค "ฉันไม่ชอบวันจันทร์นั้น" ได้ถูกนำไปใส่ในหนังเรื่อง The Breakfast Club(1985) และยังเป็นแรงดลใจในเพลง "ฉันไม่ชอบวันจันทร์(I don't like Mondays) โดยศิลปิน Boomtown Rats


อันดับ 4 จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน( Jon Venables and Robert Thompson)


(โห...น่ารักอะ ทำไมถึงทำอย่างงี้ละครับ)

ปี 1993 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน 2 เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(ทั้งคู่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบ) วันนั้นเป็นวันเปิดเรียน แต่เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปเรียนสักนิด เขาไปห้างสรรพสินค้า ขโมยลูกกวาด, ตุ๊กตาคอหมุนๆ, แบตเตอรี่จำนวนหนึ่ง, กระป๋องสเปย์สีน้ำเงิน 1 กระป๋อง และบังเอิญพวกเขาเห็นสิ่งหนึ่งน่าขโมยเป็นบ้าเลย(ไอเดียนรก) มันคือเด็กน้อยนามเจมส์ บัลเกอร์(James Bulger)อายุเพียง 2 ปีกับ 11 เดือนเท่านั้น เด็กสองคนเลยลักพาตัวเด็กออกจากห้างเสียเลย(จากภาพข้างล่าง เป็นภาพกล้องรักษาความปลอดภัยในห้าง คุณจะเห็นเด็กเล็ก(เจมส์)ถูกจูงมือโดยเด็กชายจอนและมีโรเบิร์ตเดินนำหน้า ทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกัน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่านี้เป็นภาพสุดท้ายที่บันทึกเจมส์ในขณะมีชีวิตอยู่)

ไม่รู้ว่าเมื่อออกจากห้างทั้งสองทำอะไรกับเด็กบ้าง รู้แน่ๆ พวกเขาพาเด็กเดินจนขาลากไปกว่าหลายไมล์เรื่อยเปื่อยเป็นเวลานานจนกระทั้ง มาถึงรางรถไฟจากนั้นก็ไม่รู้เพราะอะไรอีกทั้งสองตัดสินใจฆ่าเด็ก โดยฉีดสีสเปย์ใส่ตาเจมส์ จากนั้นก็รุมทุบตีด้วยมือและเท้า ท่อนเหล็กและก้อนหินกระหน่ำไปใส่ที่หัวของเด็กน้อยกว่า 42 แผลด้วยความเมามัน จนกะโหลกแตกจากนั้นก็เปลือยท่องร่างเอาแบตเตอรี่ยัดที่รูทวาร จากนั้นก็ลากศพเด็กไปวางบนรางรถไฟเพื่อให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี

และเมื่อมีการพบศพเจมส์ในเวลาต่อมาเด็กทั้งสองก็ถูกจับเกือบทันที เพราะหลักฐานจากกล้องวีดีโอวงจรปิด หลังจากถูกจับกุมทั้งสองเอาแต่ร้องโวยวาย ใช้ความเป็นเด็กไร้เดียงสา บอกว่าไม่รู้เรื่อง โยนความผิดไปอีกฝ่ายไปๆ มา จนคดีนี้ไม่แน่ชัดว่าใครต้นคิดใครฆ่าเจมส์กันแน่ ท้ายสุดศาลอังกฤษตัดสินจำคุกเด็กสองคนแบบกฎหมายผู้ใหญ่ และทั้งสองถูกปล่อยตัวออกไปในปี 2001


อันดับ 3 เจสซี่ โพเมอร์รอย(Jesse Pomeroy) 1859-1932



เจสซี่ โพเมอร์รอยถูกตำรวจจำกุมได้ในขณะที่เขาอายุ 14 ในปี 1874 ในข้อหาสังหารเด็ก 2 คนอย่างน่ากลัว เขาถูกตั้งฉายาว่า "เด็กมารร้ายแห่งเมืองบอสตัน(อเมริกา)" ก่อนหน้านั้น 3 ปีก่อน(1871-1872) เขาออกอาละวาดทำร้ายและทรมานเด็กชาย 7 คน และถูกจับส่งตัวไปโรงเรียนดัด******ที่บอสตัน(มีรายงานว่าเขามีอาการทางจิต) และถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 1875 โดยมีทัณฑ์บนไว้ เขาเฉลิมฉลองการออกจากที่คุมขังด้วยการฆ่าเด็กสาววัย 10 ขวบชื่อ Katie Curran ด้วยการตัดแขนขาเหมือนตุ๊กตาของเล่นไม่มีผิด แต่เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้เขาลักพาตัวเด็กชาย Horace Mullen วัย 10 ขวบ ไปที่บึงและสังหารเขาด้วยการใช้มีดแทงอย่างโหดร้ายและเกือบตัดหัวของเด็กชาย จนหลุดจากบ่า เจสซี่ให้เหตุผลว่าเขาฆ่าเด็กชายคนนั้นเพราะมีดวงตาที่แปลก(เด็กชายมีตาสี ขาว) เขายอมรับผิดในเวลาต่อมา และถูกจับคุก 40 ปีอย่างโดดเดี่ยว(เจสซี่รับได้บันทึกสถิตว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องอายุน้อยที่ สุดที่ตัดสินในอเมริกา) สุดท้ายเจสซี่ตายเพราะสิ้นอายุไขเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1932 ขณะอายุ 72 ปี


อันดับ 2 แมรี่ เบล( Mary Bell) 1957-??



วันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1968 ที่ย่านนิวคาสเซิล ทางตอนเหนือของอังกฤษ เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 11 ปี ของแมรี่ เบล เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(อีกแหละ) เธอเลยฉลองวันเกิดนี้โดยการบีบคอเด็ก มาร์ติน บราวน์ เด็กชายอายุ 3-4 ขวบ จนถึงแก่ความตายแล้วยังไปยั่วแม่ของเด็กทำนองว่า"ลูกคุณตายแล้วเหงาหรือ เปล่า ลูกคุณตายแล้วร้องไห้หรือเปล่า" แต่นี้ยังไม่พอสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมเธอกับเพื่อนของเธอชื่อนอม่า เบล(นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่ใช่ญาติ) ได้ฆ่าเด็กชายไบรอัน โฮล วัย 4 ขวบ และสลักที่ท้องของเด็กชายด้วยอักษรย่อ M และ N ด้วยใบมีดโกน พวกเธอทั้งสองถูกศาลพิจารณาคดีในข้อหาสังหารโหดมนุษย์ 2 ศพ ผลคือคือแมรี่ เบลถูกจำคุกและไปบำบัดจิต ส่วนเพื่อนอีกคนพ้นข้อกล่าวหา(ได้ไง??) ปี 1980 เธอถูกปล่อยตัวจากคุกเมื่ออายุได้ 22 ปีทั้งๆ ที่รักษาโรคจิตไม่หาย เธอมีลูกและหายสาปสูญไปจากสังคม และวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2003 ทางการก็ประกาศว่าเธอเป็นบุคคลนิรนาม


อันดับ 1 สังหารหมู่ในโรงเรียน(School Shootings)



การกระทำการสังหารหมู่ในโรงเรียนขึ้นต่อเนื่องใน 15 ปีต่อมา ที่น่าสังเกตคือส่วนมากเหตุการณ์สังหารหมู่นี้ผู้ก่อการส่วนมากจะเป็นเด็ก อายุไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ พวกเขากลับมีอาวุธที่ไม่รู้เอามาจากไหน เช่น ไรเฟิล ปืนกล มีดทหาร ปืนพก ฯลฯ แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้หยิบอาวุธสังหารเพื่อนนักเรียนด้วยกันอย่างเลือดเย็น เป็นเพราะปัญหาทางในโรงเรียนเหรอ(เพื่อนแกล้ง, ครูให้การบ้านเยอะ) หรือจะเป็นปัญหาทางบ้าน หรือเพราะเกมส์(GTA) เรามาดูตัวอย่างที่ผ่านๆ มาดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

15พฤศจิกายน 1995 เจมี่ เราซ์(Jamie Rouse) วัย17ปีแต่งชุดดำไปโรงเรียริชแลนด์ ที่ไจลส์ เคาน์ตี้ รัฐเทนเนสซี่ พร้อมปืนเรมิงตันขนาด.22เขายิงครูไป2คนและหันปืนเล็งยิงโค้ชทีมฟุตบอลพร้อม ยิ้มระบายบนใบหน้าแต่พอดีเด็กคนหนึ่งเดินสวนพอดี จึงโดนแทน

20 เมษายน 1998 ที่โรงเรียนคอลัมบายน์ไฮสคูล(โคลัมไบน์) อเมริกา อีริค แฮริส อายุ 18 ปี และ ไดเลน เคล็บโบลด์ อายุ 17 ปี (Eric Harris & Dylan Klebold)ได้เดินทางเข้าไปโรงเรียนด้วยท๊อปบู๊ตแบบทหาร เสื้อคลุมสีดำแบบในหนังแอ็คขั่น สะพายเป๋กระเป๋า ที่มีอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนลูกซอง เบอร์ 12 แบบบรรจุ 8นัด ลูกซองสั้นลำกล้องคู่ ปืนกลมือขนาดเบาTEC-DC9 ระเบิดที่ทำขึ้นเอง เมื่อมาถึงห้องเรียน นักเรียนทั่วไปไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติที่จะเกิดขึ้น อาจจะเพราะทั้งสองดูเพี้ยนๆอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ จนกระทั่ง พวกเขาสาดกระสุนใส่เพื่อนนักเรียนอย่างเมามันและไม่เลือกหน้า ก่อนที่เรื่องนี้จบลงด้วยการฆ่าตัวตายทั้งคู่

วันที่ 21 พฤษภาคม 1998 คิปแลนด์ คิงเคล(Kipland Kinkel) อายุ 15 ปี ที่เพิ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนสปริงฟิลด์ รัฐโอเรกอน ข้อหาพกอาวุธปืนเข้าห้องเรียน เขาเข้ามาโรงเรียนนี้อีกครั้งพร้อมปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ตรงเข้าห้องอาหารและกราดยิงฝูงชนอย่างไม่รีรอ เป็นเหตุให้นักเรียนเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บอีก 8 คน

24 มีนาคม ปี 1999 แอนดรูว์ โกลเด้น(Andrew Golden) อายุ 11 ปีพร้อมสหายมิทเชล จอห์นสัน(Mitchell Johnson) อายุ 13 ปี ในชุดพราง พร้อมปืน โกลเด้นเดินเข้าไปโรงเรียนเวสต์ไซด์ มิดเดิ้ล เมืองโจนส์ เบอโร่ รัฐอาร์คันซอ แล้วแอบกดสัญญาเตือนภัยเพื่อให้ผู้คนแตกตื่น จากนั้นเขาก็วิ่งกลับหาจอห์นสันที่ทำท่านอนเตรียมยิง และขณะที่ผู้คนกำลังชุลมุน ทั้งสองก็กราดยิงกลุ่มนักเรียน 15 คน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไป 13 คน

1 ตุลาคม ปี 2007 ลุค วู้ดแฮม (Luke Woodham)วัย 16 ปี ถูกแฟนสาวมาบอกเลิก เขาโกรธมาก จนใช้มีดแทงแม่ตัวเองดับเช้าวันนั้น แล้วคว้าปืนเดินเข้าโรงเรียนเพิร์ล รัฐมิสซิปปี้ เขาตรงลิ่วไปคน ฆ่าผู้หญิงคนนั้น กับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จากนั้นก็ยิงเด็กนักเรียนอีก 7 คน คนสุดท้ายถูกยิงแต่รอดเพราะกระสุนหมดก่อน และในขณะที่ลุคเดินกับไปเอาปืนอีกกระบอกหนึ่งผู้ช่วยครูใหญ่ก็จับตัวเขาได้ ทัน ภายหลังลุคตัดพ้อว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เขาทนไม่ไหวแล้ว "คนอย่างผมมักถูกเหยียบย่ำบาทาทุกวันราวขยะ ผมอยากให้สังคมได้รู้ว่า ถ้าเขาทำกับเราอย่างนี้ ก็จะโดนอย่างนี้กลับไป"


ขอขอบคุณ www.dek-d.com

10 การทดลองในมนุษย์ที่สุดแสนจะน่ากลัว

การ ทดลองในมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้มาช้านาน แม้มันจะทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าก็ตาม แต่เนื่องด้วยจริยธรรมและศิลธรรมทำให้การทดลองเหล่านี้เป็นเรื่องโหดร้าย และนี้คือ 10 รายการที่มีชื่อสียงเรื่องการแพทย์ ของการทดลองโดยใช้มนุษย์เป็นๆ มาทดลอง

อันดับ 10 Stanford Prison Experiment
เรือนจำ     Stanford
การท ด สอบคุกสแตนฟอร์ดเป็นการทดลอบทางจิตวิทยาเพื่อการศึกษาการตอบสนองของมนุษญ์ เมื่อถูกจับกุมและผลกระทบต่อพฤติกรรมเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำ การทดลองดำเนินการในปี 1971 โดยนักจิตวิทยา ฟิลิป ซิมบาโด(Philip Zimbardo) ของมหาลัยสแตนฟอร์ดมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้อาสาสมัครเป็นนักศึกษาทั้งหมด 20 คน มาเล่นบทนักโทษและผู้คุม(ทั้งหมดไม่รู้จักกันมาก่อน)ในคุกจำลองในชั้นใต้ดิน ของอาคารจิตวิทยาสแตนฟอร์ด 8 คนที่ถูกสุ่มจะได้เป็น ผู้คุมได้ชุดฟอร์ม อุปกรณ์ครบมือ อีก12 คนที่เหลือเป็นนักโทษ ซึ่งไม่มีสิทธิในฐานะความเป็นมนุษย์ใดๆทั้งสิ้น แล้วกำหนดเงื่อนไขสถานการณ์ต่างๆ เข้าไประหว่างการทดลอง เพื่อให้ฝ่ายผู้คุมได้ใช้อำนาจของตน และให้ฝ่ายนักโทษปฏิบัติตาม (โดยห้ามใช้ความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น หากใช้ความรุนแรงจะถูกตัดออกจากการทดลองทันที และสามารถออกไปกลางคันได้ไม่ได้เงินค่าจ้าง) โดยตอนแรกกะว่าจะทดลองสองสัปดาห์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวต้องหยุดกลางคันเพียงหกสัปดาห์เท่านั้น เนื่องจากบทบาทของอาสาสมัครเกินขอบเขตที่จะคาดการณ์ได้และนำไปสู่สถานการณ์ ที่อันตรายและเสียทางทางจิตใจ และตอนเริ่มต้นการทดลองก็เพิ่งมา ทำความรู้จักกัน พวกเขายังยิ้มแย้ม หยอกล้อเล่นหัวกันแบบเพื่อน แต่เมื่อการทดลองนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าอาสาสมัครแต่ละคน แต่ละฝ่าย ค่อยๆ อินกับบทบาทสมมติของตนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มทะเลาะกัน กลั่นแกล้งกัน ทำร้ายกันไปมา แล้วในที่สุด พวกเขาก็กลายเป็นผู้คุมจอมโหดและนักโทษเดนตายไปได้จริงๆหนึ่งในสามของผู้ คุมกลายเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้ายทารุณชอบทรมานนักโทษ(จำลอง)หลายคนจนบอบช้ำ และสองคนถูกตัดจากการทดลอง(บางเว็บบอกเพราะสองคนนั้นตาย) ทำให้การทดลองนี้ล้มเหลวในที่สุด
อันดับ 9 The Monster Study
Stuttering
The Monster Study เป็นการทดสอบการพูด ติดอ่างของเด็ก โดยใช้เด็กกำพร้า 22 คน(อายุ 5-15) ใน ดาเวนพอร์ท, ไอโอวา ปี 1939 ดำเนินการโดย จอห์นสัน(Wendell Johnson) แห่งมหาลัยไอโอวา จอห์นสันเลือกหนึ่งในนักศึกษาระดับบัณฑิตของเขาแมรี่ ทิวเดอร์ (Mary Tudor) ดำเนินการทดสอบและวิจัยดูแลเด็กกับด้วย สำหรับวิธีการทดลองจอห์นสันจะแบ่งเด็กเป็นสองกลุ่ม เด็กกลุ่มหนึ่งจะได้รับฟังแต่คำพูดที่ดี คำพูดสรรเสริญในแง่บวก เด็กอีกกลุ่มได้รับฟังแต่ถ้อยคำที่หยาบช้า ทับถม ติเตียนแง่ลบ ผลการทดลองพบว่า เด็กที่ฟังแต่คำชมสามารถพูดคล่องแคล่วและพูดจาสุภาพ แต่ปัญหาของการทดลองนี้คือกลุ่มที่ 2 ที่เป็นกลุ่มเด็กที่ฟังด้วยคำพูดในแง่ลบ มีปัญหาทางจิต ดื้อ เก็บกด ไม่ค่อยกับคนอื่น สร้างโลกส่วนตัว ชอบพูดติดอ่าง และส่งผลกระทบต่อการใช้ภาษาไปชั่วระยะหนึ่ง การทดลองนี้ทำให้จอห์นสันเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมากและสังคมเริ่มตื่น ตัวการทดลองนี้เทียบเท่ากับการทดลองมนุษย์ของพวกนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมหาลัยไอโอวาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณะชนในการทดลอง The Monster Study ในปี 2001 (และจ่ายเงินค่าเสียหายแก่เด็กกำพร้า 6 คน เป็นจำนวนถึง 920,000 ดอลลาร์)

อันดับ 8 Project 4.1
300Px-Project 4.1  Figures
รัฐบาล สหรัฐได้มี โครงการเกี่ยวกับการศึกษาการแพทย์โดยการนำประชาชนจำนวนหนึ่งไปปล่อยบนเกาะ มาร์แชล Marshalls เพื่อสัมผัสกัมมันตภาพรังสีที่ ออกมาจากของเสียในเหตุการณ์ Castle Bravo ที่เกาะบิ กีนี่ เมื่อ 1 มีนาคม 1954 ซึ่งเกาะแห่งนี้ได้รับปริมาณรังสีนี้ในปริมาณมากกว่าที่คาดคิด ผู้ทดลองได้รับกัมมันตภาพรังสีปริมาณหนึ่งๆอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสิ้นสุดโครงการ ก็สังเกตผลกระทบ ระยะแรกผู้เข้าร่วมโครงการยังปกติอยู่หากแต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ผลกระทบก็ตามมา เช่น การแท้งบุตร มะเร็งต่อมไทรอยด์ เด็กที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติต่าง ฯลฯ จนโครงการนี้ได้ถูกประณามจากผู้เชี่ยวชาญว่า “พวกเขาถูกใช้เป็นหนูตะเภาทดสอบรังสี”

อันดับ 7 Project MKULTRA
Cia Lsd
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=20449.30;wap2

โครงการ เอ็มเคอัลทราหรืออีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind-control research program เป็นการทดลองลับๆ ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้

โครง การเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและ ชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขแก่ สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้

การ ทดลองนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 และต่อเนื่องจนถึงปี 1960 มีข่าวลื่อต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับการทดลองนี้ว่าโครงการนี้ใช้ยาหลายประเภทรวมทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมองโดยไม่สนจะเต็มใจหรือไม่

สำหรับวิธีการทดลองพวกนักวิทยา ศาสตร์ผู้เข้าร่วมโครงการนี้การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนัก โทษอาสาสมัครคดียาเสพติดนักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาตให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด

ต่อมาก็มีทดลองโดยฉีดยาหลอนประสาท LSD((Lysergic acid diethylamide)) ให้กับลูกจ้าง CIA, ทหาร, แพทย์, ข้าราชการ, โสเภณี, ผู้ป่วยจิตเวช และบุคคลทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจน ถึงระดับไฮโซ มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ เพื่อศึกษาฤทธิ์ของยา LSD ซึ่งคนที่ทดลองบางคนก็ยินยอม บางคนไม่ได้รับเนื้อหาการทดลอง และบางคนไม่ยอมให้ตนเองมาทดลองกับโครงการนี้ แต่กระนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากัน ปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลองที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว

ในปี 1973 CIA ถูกสั่ง ให้ทำลายไฟล์ทั้งหมด ทำให้เอกสารเกี่ยวกับโครงการนี้ถูกทำลายเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ไม่มีหลักฐานว่ามีการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงใน CIA

อันดับ 6 The Aversion Project
Levine
โครงการแห่ง ความเกลียดชัง เป็นการทดลองของหน่วยงานตามนโยบาย การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ที่บังคับนำทหารรักร่วมเพศผิวขาว (เลสเบี้ย นและเกย์) มาทำการทดลอง "เปลี่ยนเพศ" (The Aversion Project) ซึ่งดำเนินตั้งแต่ปี 1970 และ 1980 โดยใช้สารเคมีที่มีผลทำให้หมดความรู้สึกทางเพศ/เป็นหมัน (chemical castration) ใช้กระแสไฟฟ้าช็อต ฮอร์โมน และอื่นๆ การทดลองทางแพทย์ที่ผิดจรรยาบรรณนี้ไม่มีตัวเลขผู้ทดลองที่แน่นอนแต่ก็มีการ ประเมินว่าผู้ทดลองมีมากถึง 900 คนที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนเพศ และอาจมีการดำเนินการระหว่าง 1971 และ 1989ที่โรงพยาบาลทหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลับสุดยอด ผลกระทบต่อการทดลองนี้คือคนที่โดนทดลองกลายเป็นอาการทางจิต ไม่สามารถหายจากการติดยาเสพย์ติดได้ ต้องบำบัดอาการช็อกความเกลียดชังเรื่องเพศของตัวเอง และการรักษาฮอร์โมนและอื่นๆ

อันดับ 5 North Korean Experimentation
200403020016 01
มี รายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการ ทดลองในมนุษย์ในค่ายกักกัน(นรก)ของเกาหลีเหนือ รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและการทดลองนั้น คล้ายกับการทดลองมนุษย์ของนาซีและญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองไม่มี ผิด แต่กระนั้นข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ถูกปฏิเสธทั้งหมดโดย รัฐบาลเกาหลีเหนือโดยอ้างว่านักโทษทั้งหมดในเกาหลีเหนือถือว่าเป็นมนุษย์

อดีต นักโทษเกาหลีเหนือที่สามารถหลบหนีไปยังต่างประเทศได้บอกว่า นักโทษที่ค่ายกักกันเกาหลีเหนือถูกทดลองมนุษย์เสมือนพวกเขาเป็นสัตว์ไม่ใช้ คน และวิธีการทดลองนั้นสยดสยอง พวกเขายกตัวอย่างว่า 50 นักโทษหญิงที่สุขภาพดีถูกคัดเลือกและได้ถูกบังคับรับประทานใบกะหล่ำปลีที่ เต็มไปด้วยพิษร้ายแรง(หากนักโทษไม่กินจะโดนซ้อมทั้งตัวนักโทษและครอบครัว) หลังจากที่ได้กินนักโทษส่งเสียงกริ๊ดร้องและทุกข์ทรมาน หลังจากนั้น 20 นาทีต่อมาพวกเขาทั้งหมดอาเจียนเป็นเลือดออกทางปากและทางทวารหนัก ก่อนที่จะตายอย่างน่าสงสาร

ควอน (Kwon Hyok) อดีตผู้คุมหัวหน้ารักษาความปลอดภัยที่แคมป์ 22 บอกว่าพวกเขาจะมีห้องปฏิบัติการหลายห้องสำหรับทดลองก๊าซพิษ,การสำลักอากาศ และการทดลองเลือด ซึ่งจะเลือก 3 ใน 4 คนหรือทั้งครอบครัวมาทดลอง หลังจากระยะการตรวจสอบต่างๆ พวกเขาจะถูกส่งไปยังห้องรมก๊าซ แพทย์จะฉีดยาพิษเข้าสู่ทดลองและพวกเขาก็มองผ่านกระจก มองดูคนทดลองตายอย่างช้าๆ อดีตผู้คุมอ้างว่าเขาได้เห็น 2 ครอบครัว พ่อ แม่ และลูกสาวตายจากการสำลักก๊าซ และผู้ปกครองอีกคนพยายามช่วยเด็กด้วยการเป่าปากกับปากไปตราบเท่าพวกเขายังคง มีลมหายใจอยู่


อันดับ 4. Poison laboratory of the Soviets
Sovietlab
ห้อง ปฏิบัติการพิษของหน่วย ลัยโซเวียต หรือเรียกว่าปฏิบัติการ 1, ปฏิบัติการ 12 และ Chamber เป็นการทดลองวิจัยเกี่ยวกับพิษต่างๆ ที่พัฒนาในสถานที่หน่วยงานตำรวจลับของโซเวียตภายใต้การนำของ Pavel Sudoplatov โดยโซเวียตทดสอบพิษร้างแรงชนิดต่างๆ กับนักโทษจากคุก Gulag (ศัตรูของประชาชน)โดยการสูด ดมหรือกิน,ดื่มที่มีส่วนผสมของนา เช่นก๊าซมัสตาร์ด,ไรซิน (Ricin) เป็นสารพิษ อาจอยู่ในรูปของฝุ่นผง ละอองหรือเป็นเม็ด,ไดจิท็อกซิน(digitoxin) และยาพิษอื่นๆ อีกหลายขนาน เป้าหมายของการทดสอบเพื่อหาสารพิษที่ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ส่งผลให้เหยื่อการทดลองมีร่างกายเปลี่ยนไป และบางรายตายภายในสิบห้านาที

อันดับ 3 Tuskegee Syphilis Study
Event Tuskegee
http://www.medicine.cmu.ac.th/research/ethics/Evolution.htm

ปี ค.ศ. 1972 เกิดข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับการทดลองศึกษาโรคซิฟิลิสในอเมริกา เรียกว่า Tuskegee Syphilis Study ซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 -1972 ระยะเวลานานถึง 40 ปี ใน Tuskegee เมืองชนบทในมลรัฐอลาบามา โดย U.S. Public Health Service (PHS) ของอเมริกาที่ต้องการศึกษาการเจริญเติบโตของ โรคซิฟิลิส เพื่อเข้าใจโรคที่ยังไม่มียารักษา โดย การทดลองนี้คือการการฉีดยาให้แก่ผู้ทดลองแก่คนผิวดำกว่า 412คน(ชุดแรก) ในย่านอาศัยแถวนั้น โดยคนผิวดำส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือและยากจน จากนั้นก็ศึกษาวิจัยการดำเนินโรคซิฟิลิสตามธรรมชาติในคนโดยที่คนเหล่านั้น ผู้โชคร้ายเหล่านี้เข้าใจว่า ตนกำลังได้รับการรักษาจากรัฐ โดยไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่าเป็นโรคอะไร และจะไม่ได้รับการแจ้งว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เลย มีการทำหัตถการหลายอย่างเพียงเพื่อการศึกษาวิจัย เช่น การเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลังไปตรวจ เป็นต้น ตอน แรกการทดลองวางกำหนดการณ์ไว้ที่ไม่กี่เดือน แต่การวิจัยครั้งนี้กลับดำเนินการต่อเนื่องถึง 40 ปี ส่งผลให้ผู้ถูกทดลองรอดชีวิตเพียงประมาณ 70 คนจากทดลอง(ไม่รวมผู้ที่ติดเชื้อจากการทดลองนี้) แล้วสิ่งที่ได้คือวงการแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซิฟิลิสอย่างละเอียด

นิวยอร์ก ไทม์ได้ประนามการทดลองนี้ว่า "เป็นการทดลองที่ไม่มีการให้ยารักษา ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์" เป็นการทดลองที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย อีกทั้งโรคนี้มียารักษามานานแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และมีการกระจายภาระไม่เป็นธรรมโดยเลือกแต่ชาวผิวดำในพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ประธานาธิบดีแถลงขอโทษต่อผู้เข้าร่วมโครงการที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือครอบครัว และชุมชน และเสนอให้ดูแลชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากโครงการวิจัย ในปี ค.ศ. 1997 ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เข้าทำเนียบขาวเพื่อรับฟังคำกล่าวขออภัยจากประธานาธิบดีคลินตัน นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุมดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act)

อันดับ 2 Unit 731

ย้อนไปในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 อันเป็นที่มาของการก่อ ตั้งหน่วยปฏิบัติการ 731 ด้วยเหตุว่าเมื่อเกิด สงคราม เป้าหมายคือชัยชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเล่ห์เพทุบายมาใช้โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือความชอบธรรม ใด ๆ และสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งคือการใช้สารพิษและ อาวุธชีวภาพ หรือพูดง่าย ๆ ว่าอาวุธเชื้อโรคเพื่อทำลายพลเมืองทีละเป็นหมื่นเป็นแสนคน จนเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่สุดในอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่น

หน่วยปฏิบัติการ 731 (1937-1947) เป็นชื่อหน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุมกำกับโดยนายแพทย์ อิชิอิ ชิโร(Shiro Ishii) การทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์ในการสร้างพัฒนาอาวุธเชื้อโรคเพื่อใช้ในสงครามอย่างมี ประสิทธิภาพ และการทดลองนี้จำเป็นที่ต้องใช้มนุษย์เป็นๆ ในการทดลองจำนวนมาก หน่วยนี้ได้ถูกส่งมายังประเทศจีนและเลือกเมืองฮาร์ปินเป็นที่ตั้ง และปกปิดชื่อโครงการโดยใช้ชื่อ “หน่วยงานพิเศษเพื่อ การศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย” จากนั้นก็นายทหารผู้ช่วยให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้อง ปฏิบัติการ เพื่อทดลองมนุษย์เป็นๆ

การทดลองของโครงการ นี้มีหลายอย่าง เช่น การผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ, การใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่ลงไปในหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมาก ๆ, การบังคับ ให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิส (หนองใน) นับสิบคน เพื่อศึกษาการพัฒนาเชื่อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์, การฉีดเลือดสัตว์ที่มีเชื่อเข้าร่างกายมนุษย์ที่ถูกจับมา เป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์เป็น ๆ, การจับ เหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตาย เพื่อทดสอบความทนในการเอาชีวิตรอด, การจับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง และอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ, การจับ มนุษย์เปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิเป็นลบ, การตัดเอา ชิ้นส่วนมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออก นำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์ไม่มีกระเพาะอาหารจะมีชีวิต อยู่ได้หรือไม่, การตัดแขนขา และนำต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง ฯลฯ ซากของเหยื่อผู้ เคราะห์ร้ายจะถูกโยนเข้าไปในเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้คือภารกิจของหน่วยปฏิบัติการ 731

สิ่งที่น่าตะหนกคือ หน่วยปฏิบัติการ 731 ได้เคยทดลองใช้อาวุธ ชีวภาพเพื่อฆ่ามนุษย์ทั้งในห้องปฏิบัติการและในสนามรบของประเทศจีนมากกว่า 2,700 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตล้มตายนับจำนวนไม่ได้ มีการลอบใส่สารพิษลงไปในน้ำดื่มและอาหารที่ประชาชนบริโภค การโปรยหมัดที่ติดเชื้อรุนแรงลงไปในเมืองใหญ่ ๆ ปล่อยเชื้อไข้ไทฟอยด์ อหิวาห์ บิด ลงไปในน้ำดื่ม การใช้ก๊าซพิษฆ่าคนทีละ มาก ๆ

ในเวลาต่อมาเมื่อ หน่วยถูกยุบ นายแพทย์อิชิอิ ชิโร ไม่ได้ถูกตัดสินหรือจำคุกในฐานะอาชญากรในสงครามใดๆ ทั้งสิ้น เขาเสียชีวิตลงเมื่ออายุ 67 โดยโรคมะเร็งลำคอ

อันดับ 1 Nazi Experiments

การ ทดลอง มนุษย์ของนาซีเป็นการทดลองมนุษย์ที่ใช้มนุษย์เป็นๆ จำนวนมากและสังเวยชีวิตกับการทดลองนี้มากเช่นกัน ภายใต้ระบอบนาซีเยอรมันเต็มที่ในการทดลองมนุษย์ในค่ายกักกันในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดนเฉพาะที่"ค่ายเอาชวิตซ์" (Auschwitz) และดาเชา (Dachau) และที่ค่ายกักกันอื่นๆ ทั่วยุโรป นักโทษที่ส่วนใหญ่เป็นชาวยิวหรือชาวรัสเซียนั้นถูกพวกนาซีใช้เป็นหนูตะเภาใน การทดลองทางการแพทย์หลายอย่าง ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ในการคิดค้นยา และการหาวิธีการรักษาทหารเยอรมันจากโรคภัยและอันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องๆ ในระหว่างสงคราม วัตถุประสงค์ทางการทหาร การทดลองระดับลับสุดยอด โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองกำลังทหารนาซี

แพทย์เหล่านั้นมิใช่ถูกบังคับข่ม ขู่ แต่เป็นการกระหายใคร่รู้ในผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีเหตุผล ไม่คำนึงถึงศีลธรรมและไร้ซึ่งจรรยาบรรณ เมื่อคำพิพากษาหนึ่งเดียวสำหรับนักโทษชาวเยอรมัน เชลยชาวยิว โปแลนด์ เชค รัสเซียฯลฯ คือ "ไร้ค่า" แพทย์ในคราบสัตว์กระหายเลือดเฝ้ารอคำสั่งจากท่านผู้นำฮิตเลอร์ให้ใช้นักโทษ "ทดลอง" เพื่อความรุ่งเรืองของเยอรมนี

นัก วิจัยที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดก็คือ Dr.Sigmund Rascher เป็นผู้ควบคุมการทดลองในดาเชา และยังเป็นคนคิดค้นวิธีการทดลองแนวไซโคแบบต่างๆ เช่น

-การฉีดไข้มาเลียให้นักโทษที่มี ร่างกายปกติดี(ประมาณ 1,100 ในค่ายคาเคา)เพื่อให้คนเหล่านั้นเป็นไข้ขึ้นมา แล้วจึงทดลองรักษาด้วยการใช้ยาชนิดต่างๆ เพื่อศึกษาผล ปรากฏว่า นักโทษหนูตะเภาและนักโทษอื่นๆ ที่ร่างกายอ่อนแอก็พลอยรับเชื้อติดต่อจากนักโทษคนอื่นๆ ไปด้วย ทำให้มีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตไปในการทดลองครั้งนี้

-นอก จากนี้พวกนาซียังทดลองเรื่องสภาวะความกดดันอากาศลดต่ำโดยฉับ พลัน(Decompression)ซึ่ง สภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินถูกยิงในขณะบินในระดับสูงๆ อันทำให้ความกดดันอากาศในห้องนักบินที่ปรับไว้พอดีสำหรับร่างกายของมนุษย์ เกิดลดต่ำอย่างกะทันหัน นักโทษที่เป็นหนูตะเภาจะต้องถูกนำไปใส่ห้องที่ปรับความดันอากาศต่ำ และสังเกตอาการ ซึ่งอาการที่ปรากฏก็คือขาดออกซิเจนจนตัวเขียว หายใจเร็ว หนาว อาเจียน จนหมดสติ มีบันทึกของนักโทษคนหนึ่งในค่ายคาเคาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการทดลองนี้ ว่ามีนักโทษ 200 คนเข้ามาเป็นหนูทดลอง มีคนตาย 70-80 คน

-การทดลองเพื่อหาวิธีช่วยชีวิตนัก บินทหารอีกอย่างคือ การทดลองคนที่หนาวจนแข็ง เพราะนักบินอาจตกลงในน้ำทะเลที่เย็นจัด เมื่อช่วยนักบินขึ้นจากน้ำแล้วจะมีวิธีใดที่ทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นโดย เร็ว ดังนั้น นักโทษจึงถูกสวมชุดนักบิน แล้วนำไปแช่อ่างที่มีน้ำเย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง ให้หนาวจนถึงที่สุดแล้วนำไปให้ความอบอุ่นด้วยวิธีต่างๆ ถ้าไม่สำเร็จก็ตายไปเถอะ

-นอกจากนี้ยังมีการ ทดลองเกี่ยวกับโรคทั่วไป เช่น วัณโรค เชื้อหนองที่ทำให้เป็นแผลอักเสบ ซึ่งกระทำโดยการฉีดเชื้อเหล่านี้ให้กับนักโทษเพื่อลองยาเช่นกัน

-ร่วมประเวณีกับนักโทษโสเภณีจากค่าย กักกัน และที่น่าหดหู่ใจกว่านั้นก็คือ ท้ายที่สุดเหยื่อผู้รอดชีวิตทั้งหมดจะต้องถูกยิงตายในที่สุด

- การพยายามผ่ากะโหลกศีรษะของเหยื่อออกเป็นสองซีก ในขณะที่เหยื่อยังมีสติดีอยู่ (ถ้าไม่เผลอช็อคตายไปซะก่อน) ทั้งนี้ก็เพราะต้องการตรวจสอบระบบการทำงานของสมองมนุษย์ขณะที่ยังมีลมหายใจ นั่นเอง

นักวิจัยที่ มีชื่อ เสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดอีกคนคือดร.โจเซฟ แม็งเกเล่ (Josef Mengele) ผู้ควบคุมการทดลอง มนุษย์ในค่ายเอาชวิตซ์ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง

-การ ตัดอวัยวะเพศหรืออวัยวะบางส่วนเพื่อการทดสอบเรื่องยีน โดยไม่ใช้ยาสลบ การนำนักโทษหญิงมาทดลองต่อกระแสไฟฟ้าว่าชาร์ตสูงเพียงใดถึงจะมีชีวิต การเอานักโทษมาเอ็กซ์เรย์อวัยวะเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ โดยไม่สนใจว่าถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้านานๆ จะทำให้อวัยวะนั้นถูกเผาไหม้ ฯลฯ

- การทดลองปลูกถ่ายอวัยวะ โดยการผ่าตัดร่างกายของนักโทษคนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนถ่ายให้กับอีกคน,

-เหยื่อที่ หมอโจเซฟ ชื้นชอบที่สุด คือ ฝาแฝด และคนแคระ มีฝาแฝดประมาณ14 คู่ที่ต้องจบชีวิต โดยมือของ หมอโจเซฟ ( รูปซ้ายล่าง คือครอบครัว Ovitzทั้ง หมดเป็นพี่น้องกัน ตระกูลนี้มีพี่น้อง 10 คน 7 คน เป็นคนแคระ ทั้ง 12ชีวิตถูกจับ ส่งเข้าสู่ค่ายเอาชวิตซ์ เมื่อ หมอโจเซฟ พบครอบครัว Ovitzเขาคิดว่าพระเจ้าได้ประทานสิ่งหายากยิ่งให้แก่เขา 2 ใน 12เสียชีวิตในการทดลอง ที่เหลือโชคดีที่การทดลองยังไม่ทันจบเยอรมันก็แพ้สงครามก่อนจึงรอดชีวิตมา ได้

ไม่เพียงแต่แพทย์ ชายเท่านั้น แพทย์หญิงก็ไม่เว้นที่จะทำการทดลองมนุษย์ด้วย แพทย์หญิง เฮอร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์ ( Dr. Herta Oberheuser )หมอ เฮอร์ทา ทำการทดลองเกี่ยวกับการรักษาบาดแผล ที่เกิดจากสงครามซึ่งการทดลองของเธอคือการทำให้นักโทษเกิดบาดแผลต่างๆ เพื่อให้เธอรักษา เช่น ผ่าร่างกายของเชลยให้เกิดบาดแผล แล้วใส่เศษดิน ต้นไม้ใบหญ้า เศษกระจก เศษเหล็กเป็นการจำลองแผลจากสงครามขึ้น ขอจนอับแสบอย่างรุนแรง แล้วทำการรักษาด้วยตัวยาสูตรต่างๆ ส่วนบาดแผลไฟไหม้ เธอก็ทำเหมือนเช่นเดิน เธอจะกีดร่างกายเหยื่อแล้วใส่สาร Phosphorous ลงในแผล แล้วจุดไฟ จะเกิดการลุกไหม้อย่างแรงทำให้เกิดแผลไฟไหม้รุนแรง

สุดท้าย ก่อนที่สงครามโลกจะยุติ หลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับการทดลองเหล่านี้ถูกทำลายไปภายในระยะเวลาอันแสน สั้น กลุ่มแพทย์นาซีที่มีเอี่ยวกับการทดลองมนุษย์ที่รอดชีวิตจากสงคราม ส่วนหนึ่งถูกพิจารณาคดีในฐานะอาชญากรสงคราม และอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย ได้กลับเข้ามาทำงานในแวดวงการศึกษาโดยมีทั้งที่ใช้ชื่อเดิม และชื่อใหม่ บางคนก็หลบหนีไปยังต่างประเทศและใช้ชีวิตจนหมดสิ้นอายุไข ทำให้เรื่องของการทดลองมนุษย์ของนาซีกลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายข้ามคืนของชาว โลกเท่านั้นเอง

ขอบคุณ http://listverse.com/2008/03/14/top-10-evil-human-experiments/

เนื้อหา แปลอาจดำน้ำเล็กน้อย แต่อารมณ์ประมาณนี้แหละ

ผู้แต่ง : Cammy

10 อันดับ คนกินคนโหดที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ตั้งแต่อดีตถึงปัจุบัน



10 อัลเฟร็ด แพคเกอร์
อัลเฟร็ด แพคเกอร์ เป็นนักขุดทองชาวสหรัฐอเมริกา เขาถูกตัดสินกระทำผิดฐานเป็นมนุษย์กินคน จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1874 ตอนนั้น อัลเฟร็ด แพคเกอร์ และคณะ 5 คน ได้เดินทางไปเทือกเขาโคโลราโดที่แสนหฤโหดและสภาพอากาศเลวร้าย แต่ว่ากันว่าที่นี้มีแร่ทองคำอยู่มากมายมหาศาล เหมาะอย่างยิ่งจะขุดทองเพื่อรวยทางลัด อัลเฟร็ด แพคเกอร์ และคณะเดินทางไปที่นั้น จากนั้นสองเดือนต่อมา เขากลับจากที่นั้นเพียงคนเดียว ทำให้คนอื่นๆ ตั้งคำถามว่า “อีก 5 คนหายไปไหน” อัลเฟรดบอกว่า “ฉันกินพวกเขาเองแหละ” พอดีตอนไปถึงสภาพอากาศเหลวร้ายมากๆ และอาหารเริ่มหมด เลยมีการต่อสู้เพื่อแย่งอาหาร เขาฆ่าคนอื่นเพื่อป้องกันตัวเอง และถูกบังคับให้กินเนื้อคนที่ตายเพื่อรอดชีวิต เรื่องราวของเขาดูไม่เหมือนน่าเชื่อ แต่การตรวจสอบศพแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ร่องรอยบนกระดูกเห็นได้ชัดว่าสี่คนถูกตีจนตายด้วยด้านขวานและมีร่อยรอยการ ใช้มีดแล่เนื้อออกอย่างระมัดระวัง เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสั้นๆ และถูกปล่อยตัวออกมา และปัจจุบันมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อัลเฟร็ด แพคเกอร์ เพื่อระลึกถึงโศกนาฏกรรมของเหตุการณ์ในครั้งนั้น

9 อัลเบิร์ต ฟิช
ในปี 28 พฤษภาคม 1928 ที่อพาร์เมนต์ของครอบครัวบัดด์ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มีชายชราแต่งตัวดีคนหนึ่งแนะนำตนว่าเป็นเจ้าของฟาร์ใหญ่ที่ลองไอส์แลนด์ และสนใจอยากจะหาลูกมือสักคนมาช่วยงานเขา ครอบครัวบัดด์เชื่อใจคนแก่คนนั้นจนกระทั้งวันหนึ่งพวกเขาได้ให้ลูกสาวเกรซ บัดด์อายุ 10 ขวบ ไปกับชายชราที่อ้างว่าจะเธอไปงานเลี้นงหลานสาวของเขาด้วย โดยหารู้ไม่ว่านี้คือครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวบัดดด์เห็นลูกสาวตอนยังมี ชีวิต อยู่ เพราะเด็กน้อยหายตัวไป และตอนนี้เธอก็ถูกฆ่าและถูกนำไปทำอาหารอยู่ในท้องของชายชราคนนั้นเรียบร้อย แล้ว..... ชายชราคนนั้นก็คือ อัลเบิร์ท ฟิช เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เขาถูกจับในเวลาต่อมาเมื่อเขาส่งจดหมายให้ครอบครัวบัดด์โดยบอกว่า “เขากินลูกสาวของพวกเขาแล้ว มันอร่อยมากๆ” นอกจากนี้เขายังสารภาพอีกด้วยว่าเขาเคยย้ายบ้านมาแล้วกว่า 23 รัฐ และในแต่ละรัฐได้ก่อคดีฆาตกรรมไว้อย่างน้อยรัฐละ 1 ครั้ง เหยื่อของเขาเป็นเด็กชายหญิงซึ่งจากปี 1910 ถึง 1934 เขาได้สังหารไปกว่า 400 คนเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอัลเบิร์ทพูดจริงแค่ไหน เขาถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าเมื่อวันที่ 16 มกราคม 1936

8 กลุ่มอาร์ยูเอฟ (Revolutionary United Front)
ใครเคยดูภาพยนต์เรื่อง Blood Daimond คงทราบถึงความโหดร้ายของ กลุ่ม Revolutionary United Front (RUF) เป็นอย่างดี กลุ่ม อาร์ยูเอฟ (RUF Revolutionary United Fronts) เป็นกลุ่มกองกำลังปฏิวัติในเซียร์ราลีโอนก่อตั้งโดยโฟเดย์ แซนโกห์ เป็นนักรบเก่าในกองทัพโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแย่งชิงความมั่งคั่งคืนจากชาว ยุโรปที่เข้ามากอบโกย และคว่ำรัฐบาลคอรัปชั่นของประเทศตัวเอง นั้นเป็นจุดเริ่มต้นการเกิดสงครามการเมืองสุดมหาโหด เพราะส่วนใหญ่วีกรรมของกลุ่มนี้ก็ดีๆ ทั้งนั้น เพราะจะฆ่าชาวบ้านตาดำๆ ผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน วันดีคือดีพวกมันจะรบแบบกองโจร บุกเข้ามาในเมือง หรือไม่ก็หมู่บ้านคนธรรมดา แล้วให้เด็กใช้ปืนยิงชาวบ้าน แบบปูพรม.....เพื่อสังหารทหารรัฐบาลดะ ทำลาย ฆ่าชาวบ้าน ปล้น จี้ ข่มขืน ฆ่าผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็ก รวมทั้งเอาเด็กอายุ 6 ขวบ (ขึ้นไป) เอาไปเป็นกองทัพสัตว์นรกหากใครไม่เข้าพวกยิงทิ้งทันที หรือไม่ก็ตัดแขนตัดมือ ส่วนผู้หญิงจะนำไปเป็นบำเรอกามเพื่อการข่มขื่นซ้ำซ้อนอย่างทารุณ(ผู้หญิง 75 เปอร์เซ็นต์ในประเทศ มีประวัติถูกข่มขื่น) นอกจากนี้ยังมีการกินเนื้อคนในหมู่บ้านอีก...เนื่องจากเป็นความเชื่อของ กลุ่มว่ากินเนื้อศัตรูจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นและเป็นเครื่องที่สร้างความหวาด กลัวต่อผู้คนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

7 อิสเซ ซากาวะ
“ผมไม่ได้อยากจะฆ่า ผมเพียงแต่อยากจะกินเธอเท่านั้นเอง" ข้างต้นนี่คือประโยคที่อิสเซ ซากาวะ พูดไว้หลังถูกจับกุมคดีฆาตกรรมเพื่อนหญิงสาวและนำเนื้อมาทำอาหาร ติดอันดับอีกแล้ว พ่อยุ่นคนนี้ ฆ่าคนแค่คนเดียวแต่พี่แกดังไปทั่วโลกเลยนะเนี้ย ได้อันดับ 1 ฆาตกรที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ แล้วยังติดสุดยอดคนกินคนอีก อิสเซ ซากาวะ ขณะ ที่ก่อเหตุนั้นเขาอายุ 16 ปี เขาเป็นเด็กทุนได้เรียนที่ปารีส ที่มีความฝันว่าเขาอยากจะกินคนสักครั้งในชีวิต และวันนั้นก็มาถึงเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1981 (วันเกิดครบ 32 ปีของเขา)ซาคาว่าเชิญเรนี ฮาร์เทเวลท์นักศึกษาชาวดัชต์มา ที่ห้องพักของเขาโดยอ้างว่าต้องการจ้างเธอมาอ่านบทกวีภาษาเยอรมันให้ฟัง และเมื่อเธอมาถึงและเมื่อเธอหันหลัง เขาก็ใช้ปืนยิงที่ศีรษะของเรนี จน เสียชีวิต จากนั้นก็ข่มขื่นและแล่เนื้อเธอออกเอามาทำอาหารและกิน ใช้เวลา 2 วันเพื่อทดลองว่าเนื้อของคนในส่วนไหนอร่อย เขาปรุงรสด้วยเกลือ พริกป่นและพริกไทย เขาถูกจับได้ในเวลาต่อมาหลังจากเอาศพเรนี ไป ทิ้ง เขาตัดสินว่ามีความบกพร่องทางจิตจนไม่สามารถรับผิดชอบคดีได้ เขาถูกตัดสินให้ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตจนตลอดชีวิต จะอย่างไรก็ดี ซาคาว่าเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอังรีโครันเป็นเวลา 14 เดือนก่อนจะถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่น ที่โตเกียวนั้น พ่อของเขาก็วิ่งเต้นจนเขาออกมาสู่สังคมภายนอกในที่สุด ปัจจุบัน อิสเซ ซากาวะ ใช้ชีวิตอยู่ อย่างเป็นอิสระเท่าที่ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งจะสามารถมีได้ เขาออกหนังสือหลายเล่มและเคยได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ในฐานะแขก กิตติมศักดิ์หลายครั้ง

6 อันเดร ชิกาทิโล
อันเดร ชิกาทิโล เป็นฆาตกรต่อเนื่องฆาตกรที่โหดร้ายที่สุดของรัสเซีย ที่สังหารเด็กและผู้หญิงกว่า 50 คน ใน รอสตอฟ (โซเวียตเก่า) เขาก่อนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 1978-1990 เขาเป็นชายไร้สมรรถภาพทางเพศ แต่เขาไปถึงจุดสุดยอดได้เมื่ออีกฝ่ายขัดขืน หรือหวาดกลัว ดังนั้นเวลาจะทำการฆาตกรรมทุกครั้งเขามักจะเล่นกับศพเหยื่อเพื่อให้ถึงจุด สุดยอดทุกครั้ง ไม่ว่าจะแทงศพเหยื่อด้วยมีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้างก็ถูกควักลูกตา หลายศพถูกเฉือนอวัยวะภายในและอวัยวะเพศไปเพื่อกิน บางครั้งก็นำกลับไปประกอบอาหารที่บ้าน และบางครั้งที่กินสดๆเลยก็มี อันเดร ชิกาทิโล ถูกปล่อยให้ลอยนวลอยู่ถึง 12 ปี จนกระทั่ง 20 พฤศจิกายน 1990 จิกาทีโล่ก็จับกุมในที่สุด 14 เมษายน 1992 อันเดร ชิกาทิโล ก็ขึ้นศาล แต่เขาไม่สนเรื่องการพิจาณาคดีในศาลเลย เขาเอาหนังสือโป๊มาอ่านระหว่างการขึ้นศาล เดี๋ยวก็ร้องเพลงชาติรัสเซีย เดี๋ยวก็ร้องเรียนให้จัดหาล่ามภาษายูเครน แล้วอยู่ๆก็กระโดดขึ้นมาถอดกางเกงของตนพร้อมกับร้องท้าทายผู้เข้าฟังคดี ซึ่งการกระทำเหล่านี้สร้างความโกรธแค้นให้กับญาติของผู้เคราะห์ร้ายเป็น อย่างมาก ทำให้ศาลต้องเอาตัว อันเดร ชิกาทิโล โล่ไปขังกรุง เพื่อป้องกันการถูกรุมประชาทัณฑ์ แล้วในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1994 อันเดร ชิกาทิโล ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้ารวมอายุเมื่อเสียชีวิต 57 ปี

5 Mauerova Family
ครอบครัว Mauerova เป็นครอบครัวสมาชิกบูชาลัทธิกินเนื้อคนจากสาธารณรัฐเชค พวกเขาออกอาละวาดฆ่าคนเพื่อกินคน(เน้นเด็กและทารก)ในระยะเวลา 8 เดือน นอกจากนี้ยังมีการถ่ายวีดีโอศพเด็กที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ในตู้เย็นอย่างน่า สยดสยอง โดยมีแม่เป็นพวกหน้ากลุ่ม สมาชิกทั้งหมด 6 สมาชิกประกอบไปด้วยแม่ Klara Mauerova อายุ 34 ปี Skrlova Barbaracและพี่ชาย และยังนมีเด็กสองคนคือ Ondrej Mauerova อายุ 8 ปี และ Jakub Mauer อายุ 10 ปี ทุกคนถูกจับเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2007 ทั้งหมดถูกตัดสินจริง(ในเว็บไซต์มีการโหวดว่าพวกเขาทุกคนโดนประหารแล้วตกนรก หรือเปล่าผลปรากฏว่า 97 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าสมควร)

4 อาร์มิน เมเวส
อาร์มิน เมเวส ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ชาวเยอรมันวัย 42 ซึ่งได้รับฉายาว่ามนุษย์กินคนแห่งโรเธนบวร์ก เยอรมัน ถูกศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แต่รายนี้มาแปลกเพราะเหยื่อเป็นคนยินยอมให้ฆ่าและกินตัวเองได้ เรื่องราวจากในคดีจริงนั้น อาร์มิน เมเวส ได้ใช้มุมมืดของไซเบอร์สเปสเป็นที่หาเหยื่อประมาณว่าทิ้งข้อความว่า “ต้องการหาเหยื่อเหยื่อ" ที่เป็นชายมีอายุระหว่าง 18-25 ปี ให้มาพบแล้วจะกินเป็นอาหาร สนใจติดต่อมาที่ XXX) จนกระทั้งได้พบกับเหยื่อของเขาคือเบิร์นด์ เจอร์เกน แบรนเดส (Bernd-Juergen Brandes ) ชายวัย 43 ปีซึ่งมีอาชีพเป็นผู้จัดการฝ่าย IT ในบริษัทแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้ตอบรับคำโฆษณาของเขาที่ฝากทิ้งไว้ในอินเทอร์เน็ต โดยผ่านทางการพบปะบนอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2001 แบรนเดส พูดว่าเขากำลังมองหาคนที่สามารถช่วยทำลายร่างกายของเขาให้สิ้นซากโดยที่ไม่ ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ ซึ่ง อาร์มิน เมเวส ตอบสนองโดยการใช้มีดแทงลำคอของเขา แขวนเขาเอาไว้บนตะขอแขวนเนื้อ หั่นศพของเขาออกเป็นชิ้นๆ และนำเนื้อบางส่วนมากิน ภายหลังศาลตัดสินให้เขาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่า แบรนเดส เป็นคนที่ขอให้เขากินเนื้อของตัวเองก็ตาม คดีของอาร์มิน เมเวส ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และกระแสความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยถูกนำมาเขียนเอาไว้ในหนังสือหลายเล่ม นอกจากนี้ยังนำมาทำเป็นภาพยนตร์และแต่งเพลงอีกด้วย

3 เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์
22 กรกฎาคม 1991 เวลา 23.30น.รัฐวิสคอนซิน เมืองมิลวอกี้ อเมริกา ขณะที่นายตำรวจสายตรวจ 2 คนกำลังลาดตระเวณอยู่บริเวณดาวน์ทาวน์ มีชายผิวดำซึ่งใส่กุญแจมือไว้ยังมือข้างซ้ายวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ เมื่อตำรวจตามชายดังกล่าวไปยังออกซ์ฟอร์ดอพาร์ทเมนท์ ห้อง 213 ก็พบกับชายหนุ่มผิวขาวผมบรอนด์เปิดประตูออกมารับด้วยท่าทีสงบเงียบใจเย็น เขาแนะนำตัวว่าชื่อ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ จากนั้นตำรวจก็รู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นแปลก ๆ และพวกเขาก็พบที่มาของกลิ่นเหม็น.....หัวคนในตู้เย็น มีหัวคน 4 หัวกับชิ้นเนื้อและเครื่องในมนุษย์ที่ถูกแพ๊คไว้ในถุงพลาสติก ชั้นบนของที่วางของมีกระโหลกมนุษย์ 3 หัวเก็บอยู่ ส่วนชั้นล่างวางกระดูกชิ้นส่วนอื่นๆ ในกล่องกระดาษมีกระโหลกอีก 2 หัวและอัลบั้มภาพถ่ายอันสุดจะบรรยาย หม้อบนเตากำลังต้มส่วนศีรษะมนุษย์ 2 หัวซึ่งกำลังเปื่อยได้ที่ บนพื้นมีเศษผิวหนังกับนิ้วมือตกอยู่และในถังสีฟ้าซึ่งวางไว้ที่โถงประตู ภายในคือส่วนร่างกายมนุษย์ 3 คนซึ่งถูกทำให้ละลายด้วยกรดเกลือ จากการตรวจสอบรูปถ่าย ตำรวจพบภาพสยองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพที่ถ่ายเป็นร่างของเหยื่อจะถูกตัดออกเป็นชิ้นเป็นท่อน เล็กท่อนน้อย ใส่ลงในอ่างน้ำ ผสม ทา ราดด้วยน้ำกรดและน้ำยาเคมี เนื้อถูกย่อยสลายส่งกลิ่นร้ายกาจเช่นเดียวกับกระดูกที่ถูกกัดจนเป็นสีดำ กลิ่นน่าคลื่นไส้ และยังมีของสะสมต่างๆ เป็นกะโหลกที่ถูกทาสีเทาและองคชาติที่ตัดออกมาจากศพที่ดองเก็บไว้ในขวดแก้ว บรรจุยาฟอร์มัลดีไฮด์ ส่วนหัวที่ตัดออกเขาเอาไปต้มหม้อจนเปื่อยยุ่ย จากนั้นลอกเนื้อหนังให้เหลือแต่กะโหลกแล้วทำความสะอาดให้สวยงามเหมือนของ เล่นพลาสติก เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ถูกจับกุม และถูกตัดสินในข้อหาสังหารคนไป 17 ราย แต่ เนื่องจากรัฐวิสคอนซินได้ยกเลิกโทษประหารไปแล้ว เจฟฟรีย์จึงถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต และในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1994 ก็ถูกนักโทษคนอื่นทุบด้วยท่อนเหล็กจนตายขณะรับเวรทำความสะอาด

2 เผ่าคาริบ
เผ่ากินคนนี้แหละครับที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า คานิบาลิสม์(Cannibalism) เป็นชนเผ่าที่คณะนักสำรวจคริสโตเฟอร์ โคลัมปัสและคณะไปพบเขาที่หมู่เกาะเวสท์ อินดิส ที่นั้นเขาได้พบชาวพื้นเมืองคาริบ ซึ่งเป็นเผ่ากินคนกินเป็นอาหาร ทว่าคริสโตเฟอร์แกเป็นสเปนนะครับเขาสะกดชื่อชาวพื้นเมืองนี้ผิดจากคำว่า “คาริบ” กลับเขียนเป็น “คานิบส์” จากนั้นก็เพี้ยนมาเป็นคำว่า “คานิบาเลส” อันมีความหมายว่าดุร้ายกระหายเลือด และชาวอังกฤษก็เปลี่ยนคำนี้มาเป็น “คานิบาลิสม์” ในที่สุด ซึ่งความหมายจริงๆ ของมันนคือมนุษย์ที่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองอย่างโหด* ไม่เอา ไม่พูด *มทารุณวิปริตผิดแผก ไปจากมนุษย์โดยทั่วไป กลับมาที่เผ่าคาริบ เป็นเผ่าชาวอินเดียน เผ่านี้อยู่ในเกรนาดาเป็นเกาะภูเขาไฟเล็ก ๆ ในทะเลแคริบเบียน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตรินิแดดและโตเบโก และเวเนซุเอลา และอยู่ทางทิศใต้ของเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ชาวอินเดียน เผ่าคาริบมีประเพณีกินเนื้อคน เวลาจับเชลยได้ ชาวอินเดียนเผ่านี้ก็จะใช้ไฟจี้ตามตัวจนเป็นแผลพุพองแล้วเอาพริกทา และเมื่อเชลยเสียชีวิตลงเนื้อของเชลยก็จะถูกแล่เอาไปปรุงด้วยพริกเป็นอาหาร แม้จะยังไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า การกระทำเช่นนี้มีจริงหรือเปล่า นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เรื่องราวการกินเนื้อมนุษย์โดยชาวเผ่าคาริบ อาจเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นโดยนักล่าอาณานิคม เพื่อใช้เป็นข้ออ้างถึงความจำเป็นที่ต้องทำให้คนป่าทั้งหลาย ได้พัฒนาตนเองให้มีอารยธรรมเหมือนซีกโลกที่เจริญแล้ว

1 นักรักบี้ผู้หิวโหย
วันที่ 12 ตุลาคม 1972 นักเล่นลักบี้ทีม"โอลด์คริสเตียนส์"ของมหาวิทยาลัยสเตลล่ามาริสกับเพื่อนสนิทและครอบครัว(อีกหลายคนเป็นผู้โดยสารทั่วไปที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมญาติ ลูกเรือ 3 คนและนักบินอีกสองนาย) พากับบินจากอูรุกวัยไปยังชิลีโดยเครื่องบินสายอุรุกวัย แฟร์ไชด์ FH-227D(Uruguayan Air Force Flight 571) ขณะที่แฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนเดส พวกเขาประสบกับสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนักจน เครื่องบินโดยสารประสบอุบัติเหตุตกลงไปเทือกเขาแอนดิสที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีผู้ถึงแก่ความตายทันที 13 ศพจากผู้โดยสารทั้งหมด 45 คน อีกหลายสัปดาห์ต่อมามีผู้บาดเจ็บจากเครื่องบินตกตายไปอีกหลายศพ ส่วนคนที่รอดหมดหนทางที่จะติดต่อจากโลกภายนอกได้ หิมะในบริเวณที่ เครื่องตกนั้นมีความหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร และไม่มีเครื่องมือรักษาพยาบาลหรือยาที่เพียงพอ ผู้ใหญ่ ประทังชีวิตด้วยช็อคโกแล็ตที่มีจำนวนจำกัดและน้ำที่ได้จากการละลายหิมะ เมื่อมีคนตาย พวกเขาก็ได้แต่ขนศพออกไปข้างนอกและฝังไว้ใต้กองหิมะ วันที่ 9 นับจากเครื่องตก ความหิวโหยทำให้พวกเขาอ่อนแอลงจนอยู่ในขั้นอันตราย นักลักบี้คนหนึ่งได้เสนอให้กินศพเพื่อให้อยู่รอด มีหลายคนทำตาม หลายคนนำเนื้อมาย่างบนแผ่นฟอยล์ หลายคนกินดิบเพื่อให้ได้สารอาหาร และผู้ที่ไม่ยอมกินก็อดตายทีละคนสองคน สุดท้าย 72 วันนับจากเครื่องบินตกมี ผู้ รอดชีวิตจำนวน 16 รายก็ได้รับการช่วยเหลือและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในซานดิเอโก้ในทันที และพวกเขาก็สารภาพสิ่งที่ได้กระทำลงไป (พวกเขาสารภาพกับคณะแพทย์และบาทหลวงไปเรียบร้อยแล้ว) 18 มกราคม 1973 กองทัพอากาศอุรุกวัยได้ส่งคนไปยังจุดที่เครื่องบินตกและรวบรวมศพผู้เสีย ชีวิตมาทำการฝังในที่นั้น พวกเขาตั้งกางเขนไว้เหนือหลุมศพแล้วจุดไฟเผาซากเครื่องบินที่เหลืออยู่
 
 
ขอขอบคุณwww.mthai.com

ปริศนาลึกลับของคดีฆาตกรรมลินคอล์น-เคนเนดี้

ปี ค.ศ. 2003 นี้ เป็นวาระครบรอบ 40 ปี อสัญกรรมของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ หรือเรียกกันสั้นๆว่า J.F.K. ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล จึงขอนำเกร็ดเรื่องราวแปลกๆของท่าน เปรียบเทียบกับของประธานาธิบดีลินคอล์น มาเล่าสู่กันฟังค่ะ

นับแต่ปี ค.ศ. 1963 อันเป็นปีที่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกสังหาร มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้นาน 40 ปีแล้ว แต่เรื่องราวการสังหารโหดยังไม่ เสื่อมคลายไปจากความทรงจำอย่างสิ้นเชิงทีเดียวนัก เฉกเช่นเดียวกับการสังหารประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ในปี 1865 ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังมีคนพูดและเขียนถึงอยู่


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวความบังเอิญอย่างน่าประหลาดใจ ในกรณีฆาตกรรมทั้งสองราย ซึ่งห่างกันตั้งร้อยกว่าปี แต่มีความละม้ายเหมือนกันหลายอย่าง-นั่นน่ะ ถูกกล่าวถึงและจัดไว้ในทำเนียบเรื่องพิศวงอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทีเดียวค่ะ เพราะผู้ที่ติดตามเรื่องฆาตกรรมทั้งสองราย ได้สรุปเอาความละม้ายเหมือนกัน มาเสนอรวมเบ็ดเสร็จถึง 16 ข้อ ซึ่งผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังต่อไปนี้

1. อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯในปี 1860 ส่วนจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี 1960 นับเป็นเวลาห่างกันหนึ่งร้อยปีเต็มพอดิบพอดี

2. ประธานาธิบดีทั้งสอง ต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเรื่องสิทธิ ของคนผิวดำด้วยกันทั้งคู่

3. ประธานาธิบดีทั้งสอง ถูกลอบสังหารในวันศุกร์ ต่อหน้าภริยาของตนเช่นเดียวกันทั้งคู่

4. ภริยาของประธานาธิบดีทั้งสอง ต่างก็สูญเสียบุตรชายไปในระหว่าง ที่พำนักอยู่ในทำเนียบขาวเหมือนกัน

5. ประธานาธิบดีทั้งสอง ถูกลอบสังหาร ด้วยกระสุนปืน ที่ยิงจากข้างหลัง ทะลุศีรษะ เหมือนกันทั้งคู่

6. ประธานาธิบดีลินคอล์น ถูกยิงในโรงละครฟอร์ด ของ เฮนรี่ ฟอร์ด ส่วนประธานาธิบดีเคนเนดี้ เผชิญมรณะ ในรถฟอร์ดลินคอล์น ซึ่งผลิตโดยบริษัทรถยนต์ ของเฮนรี่ ฟอร์ด เช่นกัน

7. ความบังเอิญที่ตรงกัน อย่างน่าประหลาด อีกอย่างหนึ่งคือ หลังจากการลอบสังหารแล้ว ผู้ขึ้นสืบแทนตำแหน่ง ประธานาธิบดีทั้งสองครั้ง ได้แก่รองประธานาธิบดีที่มีชื่อว่า "จอห์นสัน" เหมือนกัน คือสมัยลินคอล์นนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งแทนเขา ได้แก่รองประธานาธิบดี แอนดรู จอห์นสัน (Andrew Johnson) ส่วนรองประธานาธิบดีสมัยเคนเนดี้ชื่อ ลินดอน จอห์นสัน (Lyndon Johnson) ที่เหมือนกันอีกอย่างคือ รองประธานาธิบดีทั้งสองคนมาจากภาคใต้ และผ่านการเป็นวุฒิสมาชิก (Senator) มาแล้วทั้งคู่

8. แอนดรู จอห์นสัน เกิดในปี 1808 ส่วนลินดอน จอห์นสัน เกิดในปี 1908 ห่างกันหนึ่งร้อยปีเต็มพอดี

9. คนที่อยู่ใกล้ ตัวประธานาธิบดีทั้งสอง ก็เหมือนกัน โดยบังเอิญด้วยอย่างหนึ่ง กล่าวคือ เลขานุการ ของประธานาธิบดีลินคอล์น มีชื่อแรกว่า "จอห์น" ส่วนเลขานุการส่วนตัว ของประธานาธิบดีเคนเนดี้ มีชื่อสกุลว่า "ลินคอล์น"

10. คนร้ายที่สังหาร ประธานาธิบดีลินคอล์น ซึ่งชื่อ จอห์น วิลกีส์ บูธ (John Wilkes Booth) เกิดในปี 1839 ส่วนคนร้ายสังหารเคนเนดี้ ชื่อ ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald) เกิดในปี 1939 ห่างกันหนึ่งร้อยปี เต็มพอดี

11. มือสังหารทั้งสองต่าง ก็เป็นชาวภาคใต้ ที่มีความคิดรุนแรงจัดทั้งคู่

12. มือสังหารทั้งสองต่าง ก็ถูกสังหารดับชีพเสียก่อน ที่จะถูกนำไปพิจารณาโทษในศาล

13. บูธยิงลินคอล์นในโรงละคร แล้วหนีไปซ่อนในโรงนา ส่วนออสวอลด์ยิงเคนเนดี้จากที่ซ่อน ในโรงเก็บสินค้า แล้วหนีเข้าไปในโรงหนัง

14. ชื่อ "ลินคอล์น" และ "เคนเนดี้" สะกดด้วยอักษร 7 ตัวเท่ากัน

15. ชื่อรองประธานาธิบดี "แอนดรู จอห์นสัน" และ "ลินดอน จอห์นสัน" ประกอบด้วยตัวอักษร 13 ตัวเท่ากัน

16. ความเหมือนกันโดยบังเอิญ ข้อสุดท้ายคือ ชื่อของมือสังหาร "จอห์น วิลกีส์ บูธ" และ "ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์" ล้วนประกอบด้วยอักษร 15 ตัวเท่ากันด้วย


10 สุดยอดคำสาปของโลก

อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)
เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!
และก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน

ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน

อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา
โปรตุเกส วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!

ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิค ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง
อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์ ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไปหากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบทแม็คเบ็ธ

ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที

และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา
อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา ขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว

ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า ?ปล่องไฟปีศาจ? และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย

?ปล่องไฟปีศาจ? ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!

อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์,
สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการจัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์

ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร)

ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้
อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์,
สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการจัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์

ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร)

ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้
อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาทลอนดอน (Tower of London)
ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมายหลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด
เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!
เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วย ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจัง อย่างเคร่งครัด

เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน
อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น

นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน
อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813

ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลิน-คอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960)

เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด
อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden) นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ไอ้งูตัวแสบ มันยุยงอีฟให้หมํ่า แอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องขึ้น โดยไอ้งูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการใช้ท้องไถไป อีฟโดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหาเลี้ยงท้องอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้



ขอขอบคุณ http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=49040 สุดยอดคำสาปของโลก